การทำงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เช่น งานเชื่อมโลหะ งานตัดเหล็ก งานเจียร หรือแม้กระทั่งงานที่ทำให้เกิดสะเก็ดไฟในพื้นที่อับอากาศ ล้วนมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัยและการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หากไม่มีการควบคุมที่เพียงพอ กฎหมายไทยจึงกำหนดอย่างชัดเจนว่าการทำงานลักษณะนี้ ต้องมีผู้เฝ้าระวังไฟ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นบุคลากรที่ ผ่านการอบรมตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
กฎหมายฉบับหลัก: พระราชบัญญัติความปลอดภัยฯ พ.ศ. 2554
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 เป็นกฎหมายหลักที่ครอบคลุมเรื่องการป้องกันอันตรายในการทำงาน โดยเฉพาะ มาตรา 6 และ มาตรา 10 ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ประกอบการและลูกจ้าง
-
มาตรา 6 กำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มีมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม
-
มาตรา 10 ให้อำนาจรัฐมนตรีออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทงานอันตราย และเงื่อนไขที่นายจ้างต้องปฏิบัติ
กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับงานที่มีความร้อน
1. กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยฯ เกี่ยวกับการทำงานเกี่ยวกับความร้อน พ.ศ. 2564
กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อกำกับดูแล งานที่เกิดความร้อนจากอุปกรณ์หรือกระบวนการ เช่น งานเชื่อม งานตัด งานที่มีสะเก็ดไฟ ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญดังนี้:
-
พื้นที่ที่ทำงานเกี่ยวกับความร้อนต้องมีการประเมินความเสี่ยง
-
ต้องจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยอย่างเพียงพอ
-
ต้องจัดให้มี “ผู้เฝ้าระวังไฟ” ตลอดระยะเวลาที่มีการปฏิบัติงาน
-
ผู้เฝ้าระวังไฟต้องผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่รับรองโดยหน่วยงานของรัฐ
ผู้เฝ้าระวังไฟ คือใคร?
ผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire Watch) คือ บุคลากรที่มีหน้าที่โดยเฉพาะในการเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ขณะมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เช่น งานเชื่อม-ตัด โดยหน้าที่หลักมีดังนี้:
-
ตรวจสอบพื้นที่ก่อน-ระหว่าง-หลังการทำงาน
-
ดูแลให้ไม่มีเชื้อเพลิงหรือวัสดุติดไฟง่ายอยู่ใกล้จุดปฏิบัติงาน
-
เตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงและรู้จักการใช้งานอย่างถูกต้อง
-
หยุดการทำงานทันทีหากพบสิ่งผิดปกติ
ผู้เฝ้าระวังไฟควรได้รับการอบรมเฉพาะทาง เพื่อให้สามารถระบุความเสี่ยงและตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากไม่มี “ผู้เฝ้าระวังไฟ” ใครต้องรับผิด?
การละเลยไม่จัดให้มีผู้เฝ้าระวังไฟขณะดำเนินงานเกี่ยวกับความร้อน อาจทำให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรง และส่งผลทางกฎหมายต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
นายจ้าง
-
-
มีความผิดฐานไม่จัดให้มีมาตรการความปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด
-
โทษปรับสูงสุด ไม่เกิน 500,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ
-
หากเกิดอุบัติเหตุหรืออัคคีภัย อาจถูกดำเนินคดีอาญาเพิ่มในฐานประมาทเลินเล่อ
-
ลูกจ้าง/หัวหน้างาน
-
-
หากมีการละเลยในขั้นตอนการขออนุญาตทำงาน (Hot Work Permit) หรือไม่แจ้งเตือนความเสี่ยง
-
อาจมีความผิดร่วมตามมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ
-
ถูกพิจารณาทางวินัยในองค์กร และอาจมีโทษปรับหรือจำคุกในบางกรณี
-
เหตุการณ์จริงที่ตอกย้ำความสำคัญ ของผู้เฝ้าระวังไฟ
ในหลายกรณีที่เกิดเหตุไฟไหม้ในโรงงานหรือไซต์ก่อสร้าง มักพบว่าผู้ปฏิบัติงานทำการเชื่อมโลหะโดยไม่มีผู้เฝ้าระวังไฟอยู่ใกล้จุดปฏิบัติงาน ทำให้เกิดเพลิงไหม้จากสะเก็ดไฟที่ปลิวไปตกบนวัสดุติดไฟ เช่น โฟม ฉนวน หรือสารเคมี
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในปี 2565 ที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี เกิดเพลิงไหม้ขณะมีการซ่อมแซมท่อด้วยการเชื่อม โดยไม่มีการออกใบอนุญาตทำงานร้อน และไม่มีผู้เฝ้าระวังไฟในพื้นที่ ผลลัพธ์คือความเสียหายหลายสิบล้านบาท และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
หากองค์กรของคุณมีงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน ควรจัดอบรมผู้เฝ้าระวังไฟตามกฎหมาย
เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เราขอแนะนำให้ส่งบุคลากรของท่านเข้ารับการอบรมในหลักสูตร “ผู้เฝ้าระวังไฟ” ที่จัดขึ้นโดยศูนย์ฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจากภาครัฐ โดยในหลักสูตรจะครอบคลุมเนื้อหาดังนี้:
-
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไฟและการลุกไหม้
-
เทคนิคการประเมินความเสี่ยง
-
การใช้ถังดับเพลิงและอุปกรณ์ฉุกเฉิน
- วิธีการขอใบอนุญาตทำงานความร้อนที่ถูกต้อง
-
การสื่อสารระหว่างผู้ควบคุมงานและผู้ปฏิบัติงาน
ดูรายละเอียดหลักสูตรอบรมผู้เฝ้าระวังไฟ ได้ที่ บริการอบรมผู้เฝ้าระวังไฟ
ครอบคลุมข้อกฎหมาย อิงสถานการณ์จริง พร้อมใบรับรองหลังจบหลักสูตร
สรุป:
หลายคนยังเข้าใจผิดว่าผู้เฝ้าระวังไฟคือคนที่ยืนเฝ้าเฉยๆ แต่แท้จริงแล้วบุคคลนี้ต้องมีความรู้และการฝึกฝนเฉพาะทาง เพราะในภาวะวิกฤต “ความรู้คืออาวุธ” ที่อาจช่วยชีวิตคนได้
บทความที่น่าสนใจ
- ผู้เฝ้าระวังไฟที่ผ่านการอบรม กับ ไม่มีการอบรม ต่างกันยังไง
- กลไกการเกิดไฟไหม้ ปฏิกิริยาเคมีเชิงลึกและความเสี่ยงในโรงงาน
- ผู้เฝ้าระวังไฟ กับ จป. ต่างกันยังไง