มาตรฐานการทำงานในที่อับอากาศตามกฎหมาย ที่นายจ้างต้องรู้

by pam
13 views
มาตรฐานการทำงานในที่อับอากาศตามกฎหมาย

การทำงานใน “ที่อับอากาศ” หรือพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น ถัง บ่อ บ่อบำบัด ท่อ หรือห้องใต้ดิน เป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอาจเกิดการขาดอากาศ เป็นลม หมดสติ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม

เพื่อป้องกันอันตราย กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดมาตรฐานชัดเจนที่นายจ้างต้องปฏิบัติเมื่อลูกจ้างต้องเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งสามารถสรุปเนื้อหาสำคัญได้ดังนี้:

ข้อกำหนดการทำงานในที่อับอากาศตามกฎหมาย

1. ประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มงาน

นายจ้างต้องประเมินสภาพอันตรายในพื้นที่อับอากาศทุกครั้ง หากพบว่าสภาพไม่ปลอดภัย ต้องวางมาตรการควบคุมทันที เช่น การระบายอากาศหรือกำหนดขั้นตอนความปลอดภัยเพิ่มเติม และต้องเก็บหลักฐานการประเมิน และการดำเนินการไว้ที่สถานประกอบการเผื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

2. ตรวจวัดอากาศก่อนและระหว่างทำงาน

ก่อนลูกจ้างเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ และขณะทำงานอยู่ภายใน นายจ้างต้องตรวจวัดอากาศ และบันทึกผลทุกครั้ง หากพบว่าบรรยากาศภายในเป็นอันตราย เช่น มีแก๊สพิษ ขาดออกซิเจน หรือมีไอระเหยไวไฟ ต้องดำเนินการดังนี้:

  • ห้ามใครเข้าไปในพื้นที่นั้น

  • ถ้ามีลูกจ้างทำงานอยู่แล้ว ต้องรีบนำออกทันที

  • ประเมินสาเหตุของบรรยากาศอันตราย

  • แก้ไขสภาพอากาศให้ปลอดภัย เช่น ใช้พัดลมระบายอากาศ

ต้องเก็บบันทึกผลการตรวจวัดและการดำเนินการไว้อย่างน้อย 1 ปี

ถ้ายังมีบรรยากาศอันตราย ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน

3. ถ้ายังมีบรรยากาศอันตราย ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน

ในกรณีที่แม้จะควบคุมแล้วแต่พื้นที่ยังเป็นอันตราย และยังมีความจำเป็นต้องให้ลูกจ้างทำงานในที่นั้น นายจ้างต้อง:

  • จัดหาอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น เครื่องช่วยหายใจ ชุดกันสารเคมี ฯลฯ

  • ใช้อุปกรณ์ทำงานที่ลดความเสี่ยง เช่น เครื่องมือไร้ประกายไฟ

  • จัดให้มีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคอยสแตนบาย

4. แต่งตั้งผู้ควบคุมงานในพื้นที่อับอากาศ

เมื่อลูกจ้างต้องทำงานในพื้นที่อับอากาศ นายจ้างต้องจัดให้มี “ผู้ควบคุมงานในที่อับอากาศ” อย่างน้อย 1 คนที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะ มีหน้าที่:

  • จัดทำแผนการทำงาน ความเสี่ยง และแผนฉุกเฉิน

  • อธิบายขั้นตอนการทำงานให้ลูกจ้างเข้าใจ

  • ตรวจสอบอุปกรณ์ PPE และให้ลูกจ้างใช้อย่างถูกต้อง

  • มีอำนาจสั่งหยุดงานทันทีหากเกิดความเสี่ยงหรืออันตราย

หมายเหตุ: ผู้ควบคุม 1 คนสามารถดูแลหลายจุดได้ แต่ต้องสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้รวดเร็วหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือ สำหรับที่อับอากาศ

5. เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน

นายจ้างต้อง:

  • จัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือและช่วยชีวิต เช่น สายรัดตัว เชือก ชุดอากาศฉุกเฉิน ฯลฯ ให้เพียงพอและเหมาะสม

  • ให้ลูกจ้างและผู้ช่วยเหลือใช้และสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าวทุกครั้ง

  • จัดให้มีผู้ช่วยเหลือที่ผ่านการอบรมด้านความปลอดภัยในที่อับอากาศประจำอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลาทำงาน

สรุป: นายจ้างต้องทำอะไรบ้าง?

มาตรการ รายละเอียด
✅ ประเมินความเสี่ยง ต้องทำก่อนทุกครั้ง และเก็บบันทึกไว้
✅ ตรวจวัดอากาศ ทั้งก่อนเข้าและระหว่างทำงาน
✅ PPE และอุปกรณ์ช่วยชีวิต ต้องจัดหาให้เพียงพอและใช้งานได้จริง
✅ ผู้ควบคุมงาน ต้องมีผู้ที่ผ่านการอบรมประจำพื้นที่
✅ บันทึกและหลักฐาน ต้องเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี

แม้จะมีมาตรฐานตามกฎหมายอย่างชัดเจน แต่งานในที่อับอากาศยังคงเป็นหนึ่งในภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด หากขาดความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติที่ถูกต้อง การอบรมอับอากาศ 4 ผู้ จึงไม่ใช่แค่การทำตามข้อบังคับ แต่คือการเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ปฏิบัติงาน และช่วยให้องค์กรดำเนินงานได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง หากคุณหรือทีมงานต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ การเข้ารับการอบรมที่ถูกต้องคือก้าวแรกของความปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • ในการทำงานที่อับอากาศต้องมีการทำใบขออนุญาตทำงานที่อับอากาศ ก่อนทำงานได้ โดยเป็นหน้าที่ของผู้อนุญาต
  • ควรฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำ เพื่อให้พร้อมหากเกิดเหตุ

  • ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดอากาศที่ผ่านการสอบเทียบและได้มาตรฐาน

  • จัดให้มีการอบรมซ้ำตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อรักษาความรู้และทักษะของพนักงาน


สำหรับผู้สนใจหลักสูตรอบรมที่อับอากาศ

เรื่องที่น่าสนใจ

เซฟตี้ .COM ผู้ให้บริการครบวงจรด้านความปลอดภัยในการทำงาน อบรมความปลอดภัย และ ตรวจรับรองวิศวกรรมในโรงงานอุตสาหกรรม

เพิ่มเพื่อน