การทำงานใน “ที่อับอากาศ” หรือพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น ถัง บ่อ บ่อบำบัด ท่อ หรือห้องใต้ดิน เป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอาจเกิดการขาดอากาศ เป็นลม หมดสติ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม
เพื่อป้องกันอันตราย กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดมาตรฐานชัดเจนที่นายจ้างต้องปฏิบัติเมื่อลูกจ้างต้องเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งสามารถสรุปเนื้อหาสำคัญได้ดังนี้:
ข้อกำหนดการทำงานในที่อับอากาศตามกฎหมาย
1. ประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มงาน
นายจ้างต้องประเมินสภาพอันตรายในพื้นที่อับอากาศทุกครั้ง หากพบว่าสภาพไม่ปลอดภัย ต้องวางมาตรการควบคุมทันที เช่น การระบายอากาศหรือกำหนดขั้นตอนความปลอดภัยเพิ่มเติม และต้องเก็บหลักฐานการประเมิน และการดำเนินการไว้ที่สถานประกอบการเผื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
2. ตรวจวัดอากาศก่อนและระหว่างทำงาน
ก่อนลูกจ้างเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ และขณะทำงานอยู่ภายใน นายจ้างต้องตรวจวัดอากาศ และบันทึกผลทุกครั้ง หากพบว่าบรรยากาศภายในเป็นอันตราย เช่น มีแก๊สพิษ ขาดออกซิเจน หรือมีไอระเหยไวไฟ ต้องดำเนินการดังนี้:
-
ห้ามใครเข้าไปในพื้นที่นั้น
-
ถ้ามีลูกจ้างทำงานอยู่แล้ว ต้องรีบนำออกทันที
-
ประเมินสาเหตุของบรรยากาศอันตราย
-
แก้ไขสภาพอากาศให้ปลอดภัย เช่น ใช้พัดลมระบายอากาศ
ต้องเก็บบันทึกผลการตรวจวัดและการดำเนินการไว้อย่างน้อย 1 ปี
3. ถ้ายังมีบรรยากาศอันตราย ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน
ในกรณีที่แม้จะควบคุมแล้วแต่พื้นที่ยังเป็นอันตราย และยังมีความจำเป็นต้องให้ลูกจ้างทำงานในที่นั้น นายจ้างต้อง:
-
จัดหาอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น เครื่องช่วยหายใจ ชุดกันสารเคมี ฯลฯ
-
ใช้อุปกรณ์ทำงานที่ลดความเสี่ยง เช่น เครื่องมือไร้ประกายไฟ
-
จัดให้มีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคอยสแตนบาย
4. แต่งตั้งผู้ควบคุมงานในพื้นที่อับอากาศ
เมื่อลูกจ้างต้องทำงานในพื้นที่อับอากาศ นายจ้างต้องจัดให้มี “ผู้ควบคุมงานในที่อับอากาศ” อย่างน้อย 1 คนที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะ มีหน้าที่:
-
จัดทำแผนการทำงาน ความเสี่ยง และแผนฉุกเฉิน
-
อธิบายขั้นตอนการทำงานให้ลูกจ้างเข้าใจ
-
ตรวจสอบอุปกรณ์ PPE และให้ลูกจ้างใช้อย่างถูกต้อง
-
มีอำนาจสั่งหยุดงานทันทีหากเกิดความเสี่ยงหรืออันตราย
หมายเหตุ: ผู้ควบคุม 1 คนสามารถดูแลหลายจุดได้ แต่ต้องสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้รวดเร็วหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
5. เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน
นายจ้างต้อง:
-
จัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือและช่วยชีวิต เช่น สายรัดตัว เชือก ชุดอากาศฉุกเฉิน ฯลฯ ให้เพียงพอและเหมาะสม
-
ให้ลูกจ้างและผู้ช่วยเหลือใช้และสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าวทุกครั้ง
-
จัดให้มีผู้ช่วยเหลือที่ผ่านการอบรมด้านความปลอดภัยในที่อับอากาศประจำอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลาทำงาน
สรุป: นายจ้างต้องทำอะไรบ้าง?
มาตรการ | รายละเอียด |
---|---|
✅ ประเมินความเสี่ยง | ต้องทำก่อนทุกครั้ง และเก็บบันทึกไว้ |
✅ ตรวจวัดอากาศ | ทั้งก่อนเข้าและระหว่างทำงาน |
✅ PPE และอุปกรณ์ช่วยชีวิต | ต้องจัดหาให้เพียงพอและใช้งานได้จริง |
✅ ผู้ควบคุมงาน | ต้องมีผู้ที่ผ่านการอบรมประจำพื้นที่ |
✅ บันทึกและหลักฐาน | ต้องเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี |
แม้จะมีมาตรฐานตามกฎหมายอย่างชัดเจน แต่งานในที่อับอากาศยังคงเป็นหนึ่งในภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด หากขาดความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติที่ถูกต้อง การอบรมอับอากาศ 4 ผู้ จึงไม่ใช่แค่การทำตามข้อบังคับ แต่คือการเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ปฏิบัติงาน และช่วยให้องค์กรดำเนินงานได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง หากคุณหรือทีมงานต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ การเข้ารับการอบรมที่ถูกต้องคือก้าวแรกของความปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ในการทำงานที่อับอากาศต้องมีการทำใบขออนุญาตทำงานที่อับอากาศ ก่อนทำงานได้ โดยเป็นหน้าที่ของผู้อนุญาต
-
ควรฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำ เพื่อให้พร้อมหากเกิดเหตุ
-
ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดอากาศที่ผ่านการสอบเทียบและได้มาตรฐาน
-
จัดให้มีการอบรมซ้ำตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อรักษาความรู้และทักษะของพนักงาน
สำหรับผู้สนใจหลักสูตรอบรมที่อับอากาศ
- โทร : (064) 958 7451 คุณแนน
- อีเมล : [email protected]
- รายละเอียด : https://www.xn--c3cu3a8f4b2c.com/confined-space-training/